จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

Unknown

รู้ไว้ใช่ว่า... มัสยิดเป็นมากกว่าศาสนสถาน !!!

มัสยิดเป็นมากกว่าศาสนสถาน !
อีก ๑ เหตุผล : ทำไมประเทศไทยต้องมี "มัสยิด" ?

เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่า "มัสยิด" คือศาสนสถานในศาสนาอิสลาม เพื่อให้ชาวมุสลิมได้ใช้เป็นที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาตามที่ชาวมุสลิมทั่วโลกปฏิบัติกัน !!



แต่... สำหรับประเทศไทยนั้น "มัสยิด" เป็นสิ่งบ่งชี้ในแต่ละพื้นที่มากกว่านั้น !!

นั่นคือ "มัสยิด" เป็นสิ่งยึดโยงให้ "ศาสนจักรมีผลผูกพันกับอาณาจักร" ซึ่งได้มีการตราเป็นกฎหมายไว้อย่างชัดเจนใน พ.ร.บ. การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. ๒๕๔๐ หมวด ๔ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด (ตั้งแต่มาตราที่ ๒๓ ถึง ๒๙)

ซึ่งมีสาระสำคัญที่น่าสนใจ คือ มาตรา ๒๓ กำหนดไว้ว่า..

"จังหวัดใดมีราษฎรนับถือศาสนาอิสลามและมีมัสยิดไม่น้อยกว่า ๓ มัสยิด ให้คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยประกาศให้จังหวัดนั้นมีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด และให้ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการ"

 นอกจากนั้นอำนาจหน้าที่ใน มาตรา ๒๖ ของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ยังน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือ (๑) ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ต่อผู้ว่าราชการจังหวัด นั้นๆ

สรุปก็คือ "จังหวัดไหนที่สามารถสร้างมัสยิดได้ครบ ๓ แห่งเมื่อไหร่ ก็จะมีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด โดยกฎหมาย และเมื่อไหร่สามารถแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ครบ ๗๗ จังหวัด เมื่อนั้นก็จะมีที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการจังหวัด ทั่วประเทศตามกฎหมาย"

หมายเหตุ : ขณะนี้มีจังหวัดที่สร้างมัสยิดครบ ๓ แห่งแล้ว จำนวน ๓๙ จังหวัด (ข้อมูลเมื่อ ๓๐ ก.ย. ๒๕๕๘)

ภาพประกอบ : มัสยิดกลาง จังหวัดสงขลา
อ้างอิงข้อมูล : สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย 
http://www.cicot.or.th/

cr. ไอดิน ถิ่นธรรม
Read More

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

Unknown

ประเทศเมียนม่าร์ฉลองชัยชนะที่สามารถร่างกฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนาได้สำเร็จ !!!

ประเทศเมียนม่าร์ฉลองชัยชนะที่สามารถร่างกฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนาได้สำเร็จ  สุดยอดมากครับ !

แต่ประเทศไทยกลับยกเลิกศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แล้วจัดสรรงบประมาณ เพื่อสนับสนุนสร้างมัสยิดทั่วประเทศ !!




ชาวพุทธเมียนม่าร์ทุกยุคทุกสมัย ให้ความสำคัญต่อการป้องกันภัยศาสนาพวกเขาพร้อมหยัดสู้เพื่อพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา อย่างเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
ดังที่พุทธบริษัท 4 ในเมี่ยมม่าร์ ร่วมกันผลักดันกฎหมายคุ้มครองศาสนาและเผ่าพันธุ์
จนกระทั่งประสบความสำเร็จ สามารถบรรจุศาสนาพุทธ เป็นศาสนาประจำชาติเมี่ยนม่าร์


และเพื่อประกาศความสำคัญของกฎหมายฉบับนี้ให้แพร่หลายในวงกว้างองค์กรสันติภาพ มาบาทา นำโดยพระมหาเถระ ภัทรทันตะ ปิโรกะภิวังสา ประธานองค์กรมาบาทา จึงจัดงานเฉลิมฉลองขึ้นในวันที่ 4 ตุลาคม 2515 ที่ผ่านมา

ณ สนามกีฬาแห่งชาติย่างกุ้ง ภายในงาน คณะสงฆ์และสาธุชนที่มาร่วมประกาศความสำเร็จกว่าสามหมื่นคน
ได้รับการปราศัยจากพระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง จากมาบาทา โดยได้รับความเมตตาจากพระมหาเถระ
ภัทรทันตะ ปิโรกะภิวังสา เป็นผู้นำปราศัยในหัวข้อ อนาคตการปกครองของเมี่ยนม่าร์ 


 และที่สามารถผลักดันความสำเร็จด้านกฎหมายคุ้มครองศาสนาและเผ่าพันธุ์ ให้ความสำคัญของชาวพุทธ
ลดสิทธิชาวมุสลิม 4 ฉบับ อันได้แก่ 

1. กฎหมายว่าด้วยการควบคุมประชากร
2. กฎหมายว่าด้วยการเปลี่ยนศาสนาไม่ให้ชาวพุทธเปลี่ยนเป็นอิสลาม
3. กฎหมายการมีคู่สมรสเพียงคนเดียว
4. กฎหมายห้ามหญิงชาวพุทธแต่งงานกับชายชาวมุสลิม



 ประเทศเมียนม่าร์ฉลองชัยชนะที่สามารถร่างกฎหมายคุ้มครองพุทธศาสนาได้สำเร็จ 

 แต่ประเทศไทยกลับยกเลิกศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ แล้วจัดสรรงบประมาณ เพื่อสนับสนุนสร้างมัสยิดทั่วประเทศ !!

Read More

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

Unknown

อาชญากรรมในประเทศพุ่งสูง เพราะพวก “ผู้อพยพมุสลิม”

ตำรวจสวีเดนกว่า 80% อยากลาออก-หางานใหม่ หลังอาชญากรรมในประเทศพุ่งสูงเพราะพวก “ผู้อพยพมุสลิม”

ภาพจากรอยเตอร์

  เอเจนซีส์ / MGR online - ข้อมูลล่าสุดชี้ สวีเดนอาจประสบปัญหาใหญ่ทางสังคมในไม่ช้า หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่าร้อยละ 80 ในแดนไวกิ้งยอมรับกำลังมองหา “งานใหม่” เพราะหวั่นเกรงว่าชีวิตของตนจะตกอยู่ในอันตรายขณะปฏิบัติงานภาคสนาม จากผลพวงของอาชญากรรมและความรุนแรงที่เพิ่มสูงขึ้นภายหลังการไหลทะลักเข้าประเทศของเหล่าผู้อพยพที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม
       
  รายงานข่าวซึ่งถูกเผยแพร่ในวันพุธ (21 ก.ย.) โดยสถานีโทรทัศน์ชื่อดัง “NRK” ซึ่งเป็นของชาติเพื่อนบ้านอย่างนอร์เวย์ ระบุว่า จำนวนผู้อพยพหลายหมื่นคนซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นชาวมุสลิมจากตะวันออกกลางเป็นต้นตอสำคัญที่ทำให้คดีอาชญากรรมลักษณะต่างๆ ในสวีเดนพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ รวมถึงเหตุฆาตกรรม คดีทำร้ายร่างกาย และอาชญากรรมทางเพศ
       
  รายงานข่าวระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจของสวีเดนส่วนใหญ่ (ราวร้อยละ 80) กำลังมองหาอาชีพใหม่ เพราะหวั่นเกรงว่าตนเองจะตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมและความรุนแรงที่ก่อโดยน้ำมือของเหล่าผู้อพยพ โดยเฉพาะในขณะที่ต้องออกปฏิบัติงานภาคสนาม นอกสถานีตำรวจ
       
 นอกเหนือจากความรู้สึกไม่มั่นใจในความปลอดภัยระหว่างปฏิบัติหน้าที่แล้ว ผลสำรวจความคิดเห็นเมื่อไม่นานมานี้ยังระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจแดนไวกิ้งลาออกจากงานโดยเฉลี่ย “วันละ 3 รายเป็นอย่างน้อย” นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา
       
 ทั้งนี้ ข้อมูลล่าสุดจาก “Polismyndigheten” หรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติของสวีเดนระบุว่า ในขณะนี้จำนวนเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศเหลืออยู่ทั้งสิ้น 28,689 คน และในจำนวนนี้ราว 40 เปอร์เซ็นต์เป็น “ตำรวจหญิง”

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9590000095420
Read More

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

Unknown

ข้อเท็จจริง >>> มุสลิมฮือประท้วงวัดหนองจอก ! อ้างรัฐธรรมนูญ+ระเบียบกระทรวง สารพัด !

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ การดำเนินการแก้ไขปัญหา โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก ห้ามเด็กนักเรียนมุสลิมคลุมฮิญาบ !!




มุสลิมฮือประท้วงวัดหนองจอก ! กรณีไม่ยอมให้สวมฮิญาบในโรงเรียนวัด อ้างรัฐธรรมนูญ+ระเบียบกระทรวง สารพัด !!


สำหรับชาวพุทธ "กฎหมายอนุญาตคุณห้ามทำไม ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน"

มุสลิมประท้วง
สำหรับชาวมุสลิม "หลักศาสนาสูงกว่ากฎหมาย ถ้ากฎหมายไม่ตรงตามหลักศาสนา ก็ถือว่ากฎหมายผิด" 



ฎหมายต้องเหนือกว่าพระพุทธศาสนา เพื่อว่าศาสนาอิสลามจะได้ใหญ่กว่าไง


นายคนนี้หน้าคุ้นๆ ใช่ชื่อชารีฟหรือเปล่า ?
ประท้วงวัดหนองจอก
เปิดวัดให้มุสลิมเดี๋ยวนี้ !

กุรูแห่งอิสลาม

เพื่อสันติ เราต้องมีสิทธิเท่าเทียมกัน ทุกแห่ง




ถ้าทำที่วัดหนองจอกสำเร็จ ! ต่อไปก็มุ่งหน้าเข้าวัดพระแก้ว!!



หลักกฎหมาย หรือน้ำผึ้งหยดเดียว ?


  เห็นแล้วก็เลื่อมใสชาวมุสลิมเขานะ แค่เด็กหญิงสองคนไม่ได้ใส่ฮิญาบก็ชวนกันไปประท้วงแทบจะปิดวัด

 แต่ชาวพุทธ พระถูกวางระเบิดตายรายวันรายเดือน กลับเงียบ ผอ.สำนักพุทธฯ บอกไม่ว่าง ให้ลูกน้องไปดูแลแทน บอกได้คำเดียวว่าเศร้าฮ่ะ !



  จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ เกี่ยวกับปัญหาเรื่องโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกออกคำสั่งห้ามนักเรียนมุสลิมคลุมฮิญาบในโรงเรียน

 ซึ่งเป็นคำสั่งที่ขัดกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551 เป็นคำสั่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 ว่าด้วยสิทธิในการนับถือศาสนา และเป็นคำสั่งที่ละเมิดต่อสิทธิพื้นฐานในการนับถือศาสนาตามกฏบัตรสหประชาชาติ

 ซึ่งคำสั่งนี้ส่งผลกระทบให้เด็กนักเรียนมุสลิมไม่สามารถปฏิบัติตามหลักการของศาสนาอิสลามในขณะเรียนได้ อีกทั้งยังสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นในโรงเรียนและสังคมโดยรอบ

 จากความพยายามสร้างความสับสนให้สังคมเข้าใจว่าคำสั่งห้ามนักเรียนมุสลิมคลุมฮิญาบเป็นคำสั่งที่ถูกต้อง แม้ว่าจะเป็นคำสั่งที่ขัดกับระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ

นอกจากนี้ยังมีความพยายามสร้างเรื่องให้ร้ายป้ายสีนักเรียนมุสลิม และผู้ที่ออกมาเรียกร้องให้โรงเรียนปฏิบัติตามตัวบทกฏหมาย ยึดในระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการเป็นหลักสากลของประเทศในการบริหารงานโรงเรียนให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลว่าเป็นกลุ่มที่ใช้ความรุนแรง และไม่เคารพความแตกต่างทางพหุศาสนา

เพื่อให้สังคมตระหนักในข้อเท็จจริงที่ปราศจากการให้ร้ายป้ายสี และรับรู้ข้อเท็จจริงร่วมกันในขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ ซึ่งใช้เวลายาวนานกว่า 7 เดือนในขั้นตอนต่างๆ

 นับตั้งแต่เริ่มการดำเนินการ จนถึงการเจรจาต่อหน้ารัฐมนตรี และยอมรับร่วมกันว่าคำสั่งของโรงเรียนขัดต่อระเบียบกระทรวงศึกษา แต่ด้วยความดึงดันของผู้อำนวยการโรงเรียนฯ ที่ไม่ยอมแก้ไขคำสั่งของตนให้ถูกต้องตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ กระทั่งเกิดปัญหาบานปลายจนถึงขณะนี้ จึงขอนำเสนอลำดับเหตุการณ์ต่างๆ ดังนี้

29 ตุลาคม 2553 คณะทำงานด้านกฏหมายกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ โดยนายสักรียา สุขจันทร์ ได้ทำหนังสือที่ กมส.053051056/2553 เรื่องการแต่งกายในสถานศึกษาของนักเรียนมุสลิม ส่งถึงผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก

 เพื่อชี้แจงหลักการศาสนาอิสลามในเรื่องการแต่งกายของมุสลิม และกฏหมายที่อนุญาตให้มีการแต่งกายตามหลักศาสนาอิสลามในโรงเรียนได้ เนื่องจากได้รับร้องเรียนจากนักเรียน 2 คนให้ช่วยเหลือ หลังจากที่ทั้งสองได้ร่วมกับเพื่อนนักเรียน 17 คน (ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร)ทำหนังสือขอคลุมฮิญาบกับทางโรงเรียนตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน แต่เรื่องเงียบไป

5 พฤศจิกายน 2553 ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกทำหนังสือเลขที่ ศธ04232.28/1133 แจ้งมายังกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ระบุว่าให้เด็กแต่งกายตามระเบียบของโรงเรียน (ไม่สามารถคลุมฮิญาบได้) ในระหว่างรอการพิจารณา

23 พฤศจิกายน 2553 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังนายกรัฐมนตรี (ที่ กมส.053111783/2553) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ที่กมส.053111782/2553) กรณีการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก ที่สั่งห้ามนักเรียนคลุมฮิญาบ ซึ่งขัดกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการแต่งกายเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551 และทางสำนักนายกรัฐมนตรีได้มีหนังสือตอบกลับ (ที่ นร.0105.04/86955 รหัสเรื่องที่ นร.01530021730) โดยแจ้งว่าได้ส่งเรื่องให้สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานพิจารณาแล้ว

30 พฤศจิกายน 2553 ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก มีหนังสือที่ ศธ.04232.28/ว1245แจ้งไปยังนักเรียน 17 คนที่ทำเรื่องขอคลุมฮิญาบไว้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา เป็นเพื่อแจ้งถึงคำสั่งที่ 240/2553 ให้ยกคำขอการแต่งกายตามศาสนบัญญัติ (ห้ามนักเรียนคลุมฮิญาบ) แต่โรงเรียนไม่ยอมแจ้งผลดังกล่าวมายังกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติตามหนังสือที่ กมส.053051056/2553

28 กุมภาพันธ์ 2554 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้ทำหนังสือที่ กมส.054030102 ถึง ประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ปัญหาการแต่งกายตามหลักการศาสนาของนักเรียนสตรีมุสลิมโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก

7 มีนาคม 2554 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ส่งผู้แทน 3 ท่านเข้าชี้แจงปัญหาที่เกิดขึ้นกับนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม รัฐมนตรีแจ้งว่าได้รับบัญชาจากนายกรัฐมนตรีให้มาแก้ไขปัญหาดังกล่าว

9 มีนาคม 2554 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ส่งผู้แทน 5 ท่านร่วมประชุมกับผู้แทนกระทรวงศึกษาธิการ ผู้แทนสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) ผู้แทนสำนักงานพุทธศาสนา ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนอกจอก

 โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นประธาน ได้ข้อสรุปว่า มติของมหาเถรสมาคมไม่ได้ห้ามนักเรียนมุสลิมคลุมฮิญาบ โดยให้ขึ้นกับระเบียบของวัด

 ซึ่งโรงเรียนตั้งอยู่ในที่ดินของวัดหนองจอก และวัดได้ใช้สิทธิในการเป็นเจ้าของที่ดินห้ามนักเรียนคลุมฮิญาบ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเจรจากันเองระหว่างส่วนราชการและวัด

 ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาเฉพาะที่ โดยที่โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในพื้นที่วัดอื่นๆ ยังคงสามารถคลุมฮิญาบได้ ซึ่งรัฐมนตรีนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าเปิดเทอมนี้เด็กต้องได้คลุมฮิญาบแน่นอน และคำสั่งของโรงเรียนที่ห้ามเด็กคลุมฮิญาบขัดกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ

15 มีนาคม 2554 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้ส่งผู้แทน 4 ท่านเข้าชี้แจ้งตามข้อร้องเรียนกับอนุกรรมาธิการศาสนาอิสลาม ในคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมี นายฮอชาลี ม่าเหร็ม เป็นประธานโดยมีมติให้รอผลสรุปจากทางรัฐมนตรีก่อน หากยังไม่ได้ข้อยุติทางอนุกรรมาธิการจะดำเนินการต่อ

4 เมษายน 2554 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติทำหนังสือที่ กมส.054040411/2554 ส่งถึงนายกรัฐมนตรี สอบถามความคืบหน้าการดำเนินการตามเรื่องร้องเรียนการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของข้าราชการ (คือผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก)

 ในการออกคำสั่งขัดกับระเบียบของกระทรวง หลังจากที่เรื่องนี้ถูกส่งไปยังสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้วตามหนังสือตอบกลับที่ นร.0105.04/86955 รหัสเรื่องที่ นร.01530021730 แต่เรื่องยังคงเงียบ และไม่เคยมีการเรียกนายซักรียา สุขจันทร์ ฝ่ายกฏหมายกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติเข้าชี้แจ้งข้อร้องเรียนแต่อย่างใด

ในวันเดียวกัน กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ได้ทำหนังสือถึงนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ที่ กมส. 054040412/2554 สอบถามความคืบหน้าในการดำเนินการหลังจากการประชุมร่วมเมื่อวันที่ 9 มีนาคม

7 เมษายน 2554 นายสมพร หนูนุ่ม เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้มีหนังสือเลขที่ วธ.0102/886 ระบุว่าเรื่องดังกล่าวนั้น ทางกระทรวงวัฒนธรรมได้เรียนให้นายกรัฐมนตรีพิจารณามอบให้สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ประสานงานและดำเนินการตามมติของที่ประชุม (ที่ประชุมร่วมเมื่อวันที่ 9 มีนาคม)

11 เมษายน 2554 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้ทำหนังสือที่ กมส.054041115/2554 ถึงนายกรัฐมนตรีสอบถามความคืบหน้ากรณีปัญหาฮิญาบโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก หลังได้รับหนังสือแจ้งจากกระทรวงวัฒนธรรม

ในวันเดียวกัน กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้ทำหนังสือที่ กมส.054040413/2554 ถึง ประธานคณะอนุกรรมาธิการศาสนาอิสลาม สภาผู้แทนราษฎร (นายฮอชาลี ม่าเหร็ม) เพื่อแจ้งผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมตามหนังสือที่ วธ.0102/886 ให้ทราบ พร้อมเร่งรัดให้ดำเนินการกรณีดังกล่าวในส่วนของอนุกรรมาธิการศาสนาอิสลาม สภาผู้แทนราษฎร

20 เมษายน 2554 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้ทำหนังสือที่ กมส.054042025/2554 ถึง นายอภิชาติ  การิกาญจน์ ประธานคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร ร้องเรียนกรณีโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกออกคำสั่งขัดกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ โดยขอให้ช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวด่วนที่สุด ซึ่งกรรมาธิการการศึกษาได้มีมติให้สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานรับเรื่องไปดำเนินการเป็นการด่วน

24 เมษายน 2554 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้จัดสัมมนาเรื่อง “สิทธินักเรียนมุสลิม ในโรงเรียน” เพื่อให้ความรู้กับผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน ครู นักเรียน และประชาชนทั่วไป พร้อมยกตัวอย่างกรณีของโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกเป็นกรณีศึกษา

29 เมษายน 2554 โรงเรียนเรียกผู้ปกครองของเด็กนักเรียนที่ต้องการคลุมฮิญาบไปเรียนหนังสือตามหลักการศาสนาอิสลาม ซึ่งสอดคล้องกับระเบียบกระทรวงว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551 ให้เข้าพบและอ้างว่ายังไม่มีผู้ใหญ่สั่งการลงมาโรงเรียนจึงไม่กล้าดำเนินการใดๆ ขอให้เด็กถอดผ้าคลุมฮิญาบไปโรงเรียนก่อน ทั้งยังขู่ว่าหากคลุมฮิญาบไปจะถูกกักตัวไว้ที่ห้องปกครอง

9 พฤษภาคม 2554 เป็นวันเปิดเรียนปีการศึกษา 2554 ของโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติและพี่น้องจำนวนหนึ่งร่วมแสดงพลังในการให้กำลังใจนักเรียนมุสลิมะฮฺที่ยืนยันว่าจะไม่ยอมทำผิดต่อหลักการศาสนาในการถอดฮิญาบไปเรียนหนังสือ

 แม้จะถูกข่มขู่จากทางโรงเรียนก็ตามโดย ดร.ประพนธ์ หลีสิน ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกได้ยืนยันกับเด็กนักเรียนต่อหน้าผู้แทนครู นักเรียน และผู้ปกครองของเด็กว่า ถ้าเด็กนักเรียนคลุมฮิญาบตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551 มาเรียนหนังสือจะถูกลงโทษตามระเบียบของโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก

ในวันเดียวกันผู้แทนกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติส่งหนังสือร้องเรียนไปที่ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะผู้รักษาระเบียบตามกฏหมาย ในระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551 หลังจากที่โรงเรียนยืนยันในคำสั่งของโรงเรียนที่ขัดกับระเบียบดังกล่าว

ในวันเดียวกันผู้ปกครองผู้รับมอบอำนาจ และฝ่ายกฏหมายกลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ ดร.ประพนธ์ หลีสิน ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในการออกคำสั่งขัดกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ.2551

10 พฤษภาคม 2554 มหาวิทยาลัยมหิดลจัดสานเสวนาเรื่อง ความหลากหลายทางศาสนา และวัฒนธรรม กรณีนักเรียนมุสลิมคลุมฮิญาบในโรงเรียน ดร.ประพนธ์ หลีสิน ผู้อำนวยการโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกไปร่วมงานช่วงสั้นๆ เมื่อพูดเสร็จก็เดินทางกลับ

ในเย็นวันเดียวกันนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เรียกนายชินภัทร ภูมิรัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเข้าพบพร้อมมอบนโยบายให้มาแก้ปัญหาที่โรงเรียนห้ามนักเรียนมุสลิมคลุมฮิญาบดังกล่าว ให้เป็นไปตามระเบียบและอยู่ร่วมกันได้

11 พฤษภาคม 2554 ฝ่ายกฏหมายของกระทรวงศึกษาธิการร่วมประชุม และแจ้งให้โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกนัดทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องให้มาร่วมประชุมกับ นายชินภัทร ภูมิรัตน ซึ่งทางโรงเรียนฯ ได้โทรบอกผู้ปกครองของเด็กที่ต้องการคลุมฮิญาบให้เข้าประชุม โดยสั่งให้เด็กต้องไม่คลุมฮิญาบมาร่วมประชุม แต่ทางโรงเรียนฯ ไม่ได้แจ้งให้กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติ ในฐานะผู้แทนของผู้ปกครองเด็กทราบว่ากลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมด้วย

12 พฤษภาคม 2554 ที่ปรึกษากลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้รับแจ้งจากนิติกรของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ว่าทางกลุ่มฯ ได้รับเชิญให้ร่วมประชุมด้วยในฐานะผู้เกี่ยวข้อง ผู้แทนของกลุ่ม 3 ท่านจึงเข้าร่วมประชุมด้วย โดยได้ข้อสรุปจากการประชุมว่าโรงเรียน และสำนักงานมัธยมศึกษาเขต 2 ตีความกฎหมายคลาดเคลื่อนไปจากข้อกฏหมายที่ถูกต้อง ทำให้คำสั่งของโรงเรียนฯขัดกับระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ

แต่เนื่องจากโรงเรียนได้สร้างความเข้าใจผิดให้เกิดขึ้นมาตลอดในช่วงระยะเวลากว่า 7 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ยังคงมีกระแสต่อต้านจากครูและนักเรียนบางส่วนอยู่ จึงมีข้อตกลงร่วมให้ตั้งกรรมการ 3 ฝ่ายขึ้นมาแก้ปัญหาความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนที่โรงเรียนได้สร้างไว้ โดยกรรมการ 3 ฝ่ายประกอบด้วย ฝ่ายคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ฝ่ายโรงเรียน และฝ่ายผู้ปกครอง

โดยมีผู้แทนฝ่ายละ 3 ท่าน และให้มีที่ปรึกษาศาสนาอิสลาม 1 ท่าน และศาสนาพุทธ 1 ท่าน ทำงานในกรอบเวลาไม่เกิน 3 เดือน โดยมีนายชินภัทร ภูมิรัตน เป็นประธาน โดยในระหว่างนี้ โรงเรียนต้องจัดการศึกษาในระบบการศึกษาตามอัธยาศัยให้กับนักเรียนที่บ้านโดยที่ไม่ถือว่าเด็กขาดเรียน และโรงเรียนต้องส่งแผนการเรียนให้เด็ก ซึ่งเด็กยังคงสถานะเป็นนักเรียนของโรงเรียนมัธยมวัดหนองจอกอยู่

18 พฤษภาคม 2554 กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติได้ตั้งกรรมการร่วมในฝ่ายผู้ปกครองประกอบด้วย อ.ยงยศ เกตุเลขา, อ.ยะห์ยา ทองทา, ทนายฮานีฟ หยงสตาร์ โดยมี เชคริฏอ อะหมัด สมะดี เป็นที่ปรึกษาฝ่ายศาสนาอิสลาม

ทั้งนี้ขั้นตอนต่างๆ เป็นการดำเนินการโดยสงบ สันติ เน้นการเจรจาทำความเข้าใจเป็นหลักมาโดยตลอด แต่เนื่องจากมีกลุ่มหัวรุนแรงบางกลุ่มพยายามบิดเบือนข้อมูลดังกล่าว สร้างเรื่องใส่ร้ายเพื่อใช้เรื่องนี้เป็นประเด็นหวังจุดกระแสความขัดแย้งทางศาสนาขึ้นในสังคมไทย จึงทำให้หลายฝ่ายเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในข้อเท็จจริง

ด้วยเหตุนี้กลุ่มมุสลิมเพื่อสันติจึงขอชี้แจงข้อเท็จจริงข้างต้นพร้อมอ้างเอกสารหลักฐานซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากส่วนราชการดังที่ระบุในรายละเอียด เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องในสังคม อันจะทำให้เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างสมานฉันท์ดังเดิม


ข่าว : มุสลิมไทย
6 มิถุนายน 2554

ขอขอบคุณข้อมูล alittlebuddha.com
Read More

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

Unknown

ทำอย่างไร จึงจะรักษาวัดหนองจอกไว้ได้???

พุทธบริษัท๔ ช่วยกันไปให้กำลังใจท่านเจ้าอาวาสวัดหนองจอก 

โดยเบื้องต้น ไปถวายกำลังใจ สวดมนต์ ธรรมจักร คือจักรแห่งธรรม นั่งสมาธิที่พระอุโบสถวัดหนองจอกมากๆๆทุกวัน

 และอาจจะมีธรรมเทศนาจากพระมหาดร. และ พระวิฑระ เมืองไทย และ อาจจะมีการรวมตัวของ พุทธบริษัท๔ พม่า ที่วัดหนองจอก เพื่อสอนพุทธบริษัท๔ไทย ต้องทำอย่างไร จึงจะรักษาวัดหนองจอกไว้ได้ !!


เรื่องที่ใคร ไม่คาดคิดว่า ถ้าอิสลามอยู่ล้อมวัด

ผลจะเป็นอย่างไรเอ้า ดู ผลงาน ได้ เลย !


 



เขารุกเรามาขนาดนี้ คนพุทธจะอยู่เฉยได้ไง.
เขากำลังจะรุกล้ำพื้นที่และจ้องจะเบียดบังพระพุทธศาสนาของเรา !
Read More

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559

Unknown

นี่คือ ซีเรีย ก่อน และหลังสงครามกลางเมือง!!

นี่คือ ซีเรีย ก่อน และหลังสงครามกลางเมือง

========================================
กองกำลังจากประเทศเพื่อนบ้าน บุกเข้าไปในซีเรีย
มหาอำนาจส่งอาวุธ สนับสนุนให้สู้รบกัน


คนอพยพหนีตายเป็นล้านๆคน ยากจน ยิ่งกว่ายาจก
----------------
 เมื่อสี่สิบกว่าปีที่แล้ว ผมไปเรียนหนังสือที่ฮอลแลนด์

เพื่อนร่วมชั้นเรียนของผมมาจากซีเรีย ชื่อ อายาล เป็นรองเลขาธิการสภาพัฒนา เพื่อนจากอิรัก ชื่อ ซามาร่าห์ ทำงานกระทรวงวางแผนเศรษฐกิจ และมีเพื่อนจากลิเบีย กระทรวงน้ำมัน

ทุกคนน่ารัก มีจัดงานอิรักไนท์ ลิเบีย ไนท์ ซีเรีย ไนท์ มีหนังฉายแสดงถึงประเทศที่สวยงาม ร่ำรวย

วันนี้ทุกประเทศพังเพราะมหาอำนาจ อิรักแตกสิบสามปีที่แล้ว แต่สงครามกลางเมืองยังดำเนินต่อไป ขยายไปลิเบีย ซีเรีย
-------------
ผมเคยเห็นสภาพเช่นนี้ในกัมพูชา และเวียดนามด้วย

มองเห็นว่าถ้าการจลาจลในไทยไม่ยุติ เราโดนแน่

ขอให้นักการเมืองทุกคนเข้ามาดูภาพนี้ อย่าคิดว่าบ้านช่องของคุณและวงศาคณาญาติจะเหลือ มันจะถูกเผา คุณจะถูกไล่ฆ่า เหมือนนักการเมืองในประเทศอื่นๆ นักปลุกระดมทั้งหลายก็เช่นกัน

ไม่มีใครเหลืออะไร
--------------------------------
คนไทยที่เข้ามาร่วมรักษาชาติ บ้านเมือง

เขามารักษาบ้าน  ทรัพย์สิน ชีวิตของพ่อ แม่ ลูก แฟน และ ญาติพี่น้องของเขา

รวมถึงโรงเรียน โรงพยาบาล ถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำประปา ร้านค้า วัดวาอาราม มิให้พังทลาย เพราะในสงครามกลางเมือง ไม่มีน้ำ ไฟฟ้า อาหาร หมอ ยา ลิฟท์ บันไดเลื่อน แท็กซี่ รถเมล์ โรงเรียนปิด โรงพยาบาลปิด ไม่มีของขาย ไม่มีของกิน ที่ทำงานปิด โรงงานปิด ไม่มีเงินเดือน ไม่ใช่แบบน้ำท่วมนะครับ ยาว 

ไม่มียา  ตายแน่ เด็กไม่ได้ไปโรงเรียน โจรเต็มเมือง แรงงานต่างชาติอีกเพียบ  ข่มขืนกันยับทั้งประเทศ

งานนี้ กินประชาธิปไตยไม่ได้ครับ
-------------------------

     นักการเมืองหลายคน   คุณอย่ามาขึ้นเสียง หรือใช้บ๋อยมาพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพ ประชาธิปไตย

ถ้าจะช่วยประชาชน นะ ช่วยเงียบ อย่าสร้างสถานการณ์ที่ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง เร่งขจัดเงื่อนไขสงครามกลางเมืองที่สร้างขึ้นให้หมดไป

เพราะเมื่อประเทศชาติ ประชาชนเดือดร้อน คุณก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ชีวิตคุณเอารอดหรือเปล่า

คุณไม่มีปัญญาช่วยคนไทยที่อดอยาก หิวโหย ล้มตาย หนีภัยสงครามหรอก

นี่คือพูดตรงๆ ไม่เกรงใจกัน

เพราะมัวเกรงใจพวกคุณ พวกเราจะลำบากเหมือนคนอิรัก ซีเรีย ลิเบีย
ต้องไปนอนกลางดินอยู่ชายแดนประเทศอื่น พวกนี้ขี้เกรงใจคน จืงลำบาก

นี่ยังห่วงเลยว่าพวกคุณเข้ามาจะรบกันอีกหรือเปล่า ยังไม่มีตำแหน่งก็ตั้งท่าใส่กันแล้ว บอกให้ไปยิงกันในสนามกีฬาแบบโรมันก็ไม่เอา ขี้ขลาดมากๆ

ทีวีไทยก็ช่วยเอาสภาพของคนอิรักอพยพจากบีบีซี มาฉายด้วย รบกันสถานีพังหมดเหมือนกัน รักษางานตัวเองไว้

มีลำดับความสำคัญก่อนหลังในทุกเรื่องราว
--------------------

ที่จริงตามแผนมหาอำนาจ ประเทศไทยจะเกิดสงครามกลางเมืองก่อนซีเรีย

แต่เมื่อไทยยืนอยู่อย่างสตรอง เรื่องจริงเกิดที่ซีเรีย

ดีใจที่ประเทศไทยยังร่มเย็นอยู่ได้

เชิญชมภาพก่อน หลังสงครามซีเรียเลยครับ

แล้วลองคิดว่าถ้ามันเกิดขึ้นในจังหวัดต่างๆของไทย กองทัพภาคต่างๆรบกัน

ประเทศใกล้เคียงเข้ามาแทรกแซง บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร

ครอบครัวคุณ และตัวคุณจะเป็นอย่างไร

และตอนนี้เราควรทำอะไรบ้าง

สงครามกลางเมืองคือการปกครองที่เลวร้ายที่สุด

http://petmaya.com/28-before-after-syrian-war
Read More
Unknown

คนมุสลิม และศาสนาอิสลามต้องการอะไรจากประเทศนี้???

***อ่านด้วยค่ะ สำคัญมาก ***

ในเบื้องต้นขอให้ทุกท่านเข้าใจร่วมกันก่อนว่า อิสลามต้องการครอบครองประเทศไทยทั้งประเทศและจะเปลี่ยนให้เป็นประเทศสาธารณรัฐอิสลาม


  มีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งพวกเขาเองก็ยอมรับแต่โดยดี ตามหน้าข่าวก็เริ่มมีให้เห็นกันแล้ว ทุกท่านต้องเข้าใจตรงจุดนี้ร่วมกันก่อนว่าเป็นเรื่องจริงที่เขาเองก็ออกมายอมรับแล้ว......

อาตมาต่อสู้เรื่องนี้มายาวนานถึง 6 ปี ในวันนี้จะสู้เพียงลำพังกับชาวบ้านคุณตาคุณยายไม่ได้แล้ว เพราะะเขารุกมาทุกทิศทุกทางพลังแค่นี้คงจะไม่พอเราไม่สามารถจะต้านพวกเขาได้อีกแล้ว ต้องแล้วแต่โชคชะตาว่าจะมีชาวพุทธมาร่วมและแสดงความรักต่อพระพุทธศาสนาอย่างจริงใจกันแค่ไหน

 ถ้าเสียงมากพอก็อาจจะพอช่วยกันได้ นครพนมคือพื้นที่สำคัญที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้ เพราะที่นี่มีสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมโยงไปถึงประเทศจีนได้จากที่นี่แค่ 865 กม.เท่านั้นก็เข้าเขตประเทศจีน

 จะไปเวียดนามก็แค่145กม. ไปสปป.ลาวนั้นแค่ข้ามสะพานก็ถึงแผ่นดินลาว ที่นี่จึงถูกออกแบบมาให้เป็นจุดยุทธศาสตร์จุดแรกที่ต้องยึดให้ได้ก่อน เพื่อขนจำนวนมุสลิมเข้ามากระจายไปสู่ทุกจังหวัดในภูมิภาคอีสาน

 ตามแผนการขยายฐานอำนาจเพิ่มจำนวนมุสลิมและใช้ควบคุมทั้ง17จังหวัดในภาคอีสาน ถ้าหากมัสยิดกลางนครพนมสำเร็จเมื่อไหร่ เขาจะใช้มัสยิดตรงนี้เป็นศูนย์กลางของการประชุมอิสลามทั่วทั้งภาคอีสาน และจะย้ายจากจังหวัดอุดรธานีมาไว้ที่นี่ จะเป็นศูนย์กลางห้างสรรพสินค้าใหญ่สุดของกิจการอาหารฮาลาล

 และในขณะนี้โครงการดิสนีย์ลาวเมืองท่าแขก สปป.ลาว ตรงข้ามกับนครพนมพอดีเริ่มก่อสร้างแล้วด้วยเม็ดเงินมหาศาลเกือบ 4 แสนล้านในระยะเวลา8ปีแล้วเสร็จ

 ท่านทราบไหมว่านครพนมมีมัสยิดแล้ว 3 ที่ ถ้าตรงนี้เสร็จจะเป็น4ที่ โดยที่ไม่มีคนในจังหวัดรับรู้ทั่วถึงเลย ชาวนครพนมก็พากันหลับใหลอยู่

 บางส่วนก็แพ้เงินและเกรงกลัวอำนาจการปกครองที่กดหัวอยู่ ฝ่ายพระและโยมก็ไม่ต่างกัน คือเกรงกลัวอำนาจการปกครอง และบางส่วนก็กำลังรอดูเพื่อนชาวพุทธมาสมทบ เพื่อจะได้อุ่นใจและออกมาจากมุมมืดสมทบซึ่งก็มีเยอะเหมือนกัน

 นอกจากนี้นครพนมยังมีอารยธรรมและประเพณีวัฒนธรรมที่มั่นคงมากทางพุทธศาสนา มีฮีต 12 คอง 14 ที่ เหนียวแน่นมีพระบรมธาตุมากที่สุดในประเทศไทย อันแสดงถึงความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง

 มีชนเผ่าต่างๆ ถึง 7 เผ่าตามรูปที่แสดงให้ดูด้านล่างนี้

 เพราะฉะนั้นสิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานรากฐานแห่งความมั่นคงของพุทธศาสนาที่หยั่งลึกลงสู่จิตใจพี่น้องอีสานแห่งอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์มายาวนาน หากพวกเขาโค่นล้มหัวใจหลักของชาวพุทธตรงจุดนี้ลงได้ ที่อื่นๆ

 ซึ่งประเพณีความมั่นคงน้อยกว่าที่นี่มากก็จะเป็นเรื่องง่ายมาก อีกประการหนึ่งที่สำคัญคือนครพนมเป็นจังหวัดที่พลเมืองประชากรในจังหวัดมีมวลความสุขมากที่สุดในประเทศไทย

 เมื่อเทียบจากจำนวนประชากร (ททท) ต่อพื้นที่ทั้งหมด ก็คือมีจิตใจดีงามมีน้ำใจไมตรีช่วยเหลือเกื้อกูลกันจากการปลูกฝังมาแต่โบราณตามฮีต คอง ประเพณีที่ล้วนแล้วแต่เป็นการทำบุญตามเดือนตามโอกาสและเทศกาลสำคัญต่างๆ

 อิสลามจึงต้องการที่นี่เพื่อทำลายหัวใจของพุทธศาสนาให้ได้เพื่อวางฐานกำลังหลักเอาไว้ขยายอำนาจต่อไป แล้วท่านคิดว่า..ทีนี่สำคัญไหม..ไม่ใช่ปัญหาแค่จังหวัดเดียวเท่านั้นแต่รวมไปถึงทั้งประเทศเลยทีเดียว..

มาเถอะพี่น้องไทย มาร่วมกันปกป้องผืนเเผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ คือพระธาตุพนมที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระอุรังคธาตุขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาไว้ให้สาธุชนรุ่นหลังของเราได้สักการะกราบไหว้ไปด้วยกัน...สาธุ

***ท่านใดที่เป็นสมาชิกกลุ่มหรือองค์กรใดที่เกี่ยวข้อง ขอให้ช่วยกันแชร์เผยแพร่ออกไป ให้ชาวพุทธได้รับรู้ถึงความจริงโดยทั่วกัน
Read More
Unknown

ญี่ปุ่นคิดและปฏิบัติต่ออิสลาม! อย่างไร ???

 ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เด็ดเดี่ยวที่ปกป้องประเทศให้ห่างไกลและพ้นไปจากการเกี่ยวข้องกับมุสลิมและศาสนาอิสลามโดยเด็ดขาด...



ชาวญี่ปุ่น มุ่งรักษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของญี่ปุ่น !

จึงไม่มีผู้นำจากประเทศอิสลาม อายาตุลเลาะห์ ของอิหร่าน และนายก รมต. ของประเทศอิสลามไปเยื่อนญี่ปุ่น แม้แต่พระราชาแห่งซาอุดิฯ หรือเจ้าชายแห่งซาอุดิฯก็ไม่ไปเยือนญี่ปุ่น!!

 เนื่องจากญี่ปุ่นออกกฎเข้มงวดต่อชาวมุสลิม และต่อศาสนาอิสลาม โดย

1.ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในโลกที่ไม่ให้สัญชาติตนแก่ชาวมุสลิม

2.ไม่ให้ การพำนักอย่างถาวร แก่มุสลิม

3.ห้ามการเผยแผ่ศาสนาอิสลาม ในประเทศญี่ปุ่นอย่างเด็ดขาด

4.ไม่ให้มีการสอนภาษาอิสลาม และภาษาอาราบิค ทุกมหาวิทยาลัยในJapan

5.ไม่อนุญาตให้นำคัมภีร์อัลกุรอานเข้ามาในประเทศ

6.อนุญาตให้ชาวมุสลิมที่ปฏิบัติตามกฎหมายของญี่ปุ่นอาศัยอยู่ได้
ชั่วคราวเพียง2แสนคนเท่านั้นซึ่งควรต้องพูดภาษาญี่ปุ่นและทำพิธีทางศาสนาภายในบ้านของตนเองเท่านั้น

7.ญี่ปุ่นเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีสถานทูตในประเทศอิสลามน้อยมาก..

8.ชาวมุสลิมในญี่ปุ่นเป็นได้เพียงลูกจ้างของบริษัทต่างชาติ

9.ไม่อนุญาตให้วีซ่าแก่มุสลิมที่เป็นแพทย์,วิศวกร หรือผู้จัดการ ที่บริษัทต่างชาติส่งมา  

10.บริษัทส่วนใหญ่ในญี่ปุ่นมีกฎข้อบังคับไม่รับชาวมุสลิมเข้าทำงาน...

11.รัฐบาลญี่ปุ่นมีความเห็นว่าชาวมุสลิมเป็นพวกอนุรักษ์นิยมแม้โลกจะก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์แล้วแต่พวกเขาก็ยังยืนยันว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงกฎหมายศาสนาอิสลามให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป

12.ชาวมุสลิมไม่สามารถเช่าบ้านในญี่ปุ่นได้

13.ถ้าชาวญี่ปุ่นรู้ว่ามีเพื่อนบ้านเป็นชาวมุสลิมแค่คนหนึ่งคนญี่ปุ่นในย่านนั้นจะตื่นตัวกันเป็นอย่างมาก

14.ไม่อนุญาตให้มีสถานศึกษาของชาวมุสลิมในประเทศญี่ปุ่น

15.ไม่มีการใช้กฏหมายชารีอะห์ของศาสนาอิสลามในญี่ปุ่น

16.ถ้าหญิงชาวญี่ปุ่นไปแต่งงานกับคนมุสลิมจะเป็นคนที่สังคมรังเกียจและไม่ยอมรับไปตลอดชีวิต

17. ตามที่ศาสตราจารย์คุมิโกะ ยากิ  ผู้ศึกษาเรื่องมุสลิมอาหรับ มหาวิทยาลัยโตเกียวกล่าวว่า"ในญี่ปุ่นมีความคิดว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่มีจิตใจที่คับแคบและเราควรอยู่ให้ห่างไกลไว้"

....ญี่ปุ่นอาจจะแพ้สงครามแต่พวกเขายังรักษาและเป็นเจ้าของประเทศเอาไว้ได้...

 ในประเทศญี่ปุนไม่มีการวางระเบิดฆ่าผู้คนในย่านธุรกิจ,....ไม่มีการฆ่าเพียงเพื่อรักษาเกียรติของครอบครัวรวมทั้งเด็กผู้ ไร้เดียงสาหรือใครๆก็ตาม ในญี่ปุ่นมีเหตุการณ์ความไม่สงบที่ น้อยมาก...ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องที่น่าคิดนะ..ว่าไหมครับ!!
Read More

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559

Unknown

พม่าไม่ใช่ไทย ทำอะไรก็ได้ในไทย แต่อย่าด่าอัลเลาะห์

เฮ้ย! พม่าไม่ใช่ไทยนะเว้ย  !

เขาเป็นประชาธิปไตยแล้ว. !!

โธ่.... พม่าไม่ใช่ไทย 

ทำอะไรก็ได้ในไทย แต่อย่าด่าอัลเลาะห์เป็นใช้ได้ .... รู้เป่า? 

กขค...ฮ.  .ยัดคุกมึงแน่


• ศาลพม่าฟันคุก2ปีหนุ่มกีวีหมิ่นพุทธ ติดรูปพระสวมหูฟัง
http://news.truelife.com/detail/12331
Read More

วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2559

Unknown

ทำไมชาวพุทธไทยต้องยอมมุสลิมมากมาย!!!

"มุสลิมโต้แย้ง ดร.บรรจบ :
เกี่ยวกับบทความเรื่อง 'ทำไมชาวพุทธไทยต้องยอมมุสลิมมากมาย'...
ฤาถึงเวลา..มาถึง วิถีพุทธ เสียที"
+×÷=+÷÷=


@  ผมจำได้ว่า บทความเรื่องนี้เป็นบทความที่สองที่เขียนลงเฟชบุคเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี ๒๕๕๗ ซึ่งผมลืมไปแล้ว เพราะมัวแต่ทำงาน  ก็พอดีมีคนส่งไลน์จากพันทิพย์มาให้  ข้อเขียนโต้แย้งถามว่า

      "...ประเทศไทยจำเป็นเหรอต้องเป็นพุทธ เจ้าของบทความ (บรรจบ)เหมือนผูกขาดว่าประเทศไทยต้องพุทธเท่านั้น
      เลิกละเมอได้แล้ว จะศาสนาอะไรขึ้นอยู่กับคนไทยทั้งหมด ถ้าวันนึงหันมารับอิสลามกันหมด คนไทยก็ยังเป็นคนไทยนี่ครับ..."

@  ขอตอบว่า ไม่ได้มีเจตนาบอกว่า เมืองไทยต้องเป็นพุทธเท่านั้น  แต่ต้องการบอกว่าความสงบสุขของพุทธหรือแบบพุทธจะสูญสิ้นไป ถ้าคนนับถือศาสนาอิสลามมีมากขึ้น ที่บอกอย่างนี้ก็เพราะว่า คนมุสลิมคงไม่ปรานีคนพุทธเหมือนอย่างที่คนพุทธปรานีมุสลิมแน่นอน

@ ข้อสันนิษฐานนี้คงไม่ใช่ละเมอ  แต่มาจากเหตุผลทางประวัติศาสตร์  ซึ่งรุกรานพุทธมาตลอด  ทั้งตามเส้นทางสายไหม (Silk Road) ในอินเดีย และในอินโดนีเซีย โดยการใช้ความรุนแรงคือการฆ่าฟัน การเผาทำลาย และการเพิ่มจำนวนคน อย่างในเมืองไทย คนมุสลิมในประเทศมีไม่พอก็ไปเคลื่อนย้ายมุสลิมจากต่างประเทศเข้ามา ไว้ตามมัสยิดต่าง ๆ ที่ระดมภาษีซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของชาวพุทธไปใช้สร้างไปทั่วทุกตำบล  (ลองแอบถามฝ่ายความมั่นคงดู) และดูเหมือนจะย่ามใจมากขึ้นเพราะไปเกาะติดผู้มีอำนาจรัฐได้ แต่เราก็ไม่หวั่นไหวอะไรมาก เพราะถือว่าอำนาจมีได้ก็หมดได้ 

@  จุดอ่อนของพุทธคือคำสอนที่ไม่นิยมใช้ความรุนแรง  แต่จุดแข็งของอิสลามคือ คือ ฆ่า ใช้ความรุนแรง  และทำลาย  แนวความคิดนี้คงยากจะให้หมดไปจากอิสลามได้  เพราะเมื่อถือว่าเป็นบุญเสียแล้วก็คงใช้วิธีนี้ทำบุญกันต่อไป...แนวคิดนี้ อย่าว่าแต่กับคนศาสนาอื่นเลย แม้แต่กับมุสลิมด้วยกันเองก็ฮาลาลเลือดไม่เว้นแม้กระทั่งลูกหลานขององค์ศาสดา เพราะเหตุที่เพียงแค่ความเห็นต่างกัน 

@ คำสอนของศาสนาอิสลาม...ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เมื่อศึกษาแล้วนึกไม่ถึงว่าจะมีคำสอนทำนองนี้...คือ มีบทหนึ่งที่สอนเรื่องการฆ่าไว้โดยเฉพาะ เช่น สอนให้ฟันต้นคอศัตรู  ผมอ่านแล้วอ่านอีก และคิดสงสัยว่าทำไมต้องมีคำสอนอย่างนั้น ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อการสนับสนุนให้เกิดการฆ่าง่ายเหลือเกิน  จึงทำให้เกิดคำถามว่าความรุนแรงทั่วโลกเกี่ยวกับการทำของมุสลิมมาจากคำสอนนี้หรือเปล่า ?

@ การแบ่งแยก...เห็นได้ชัด มุสลิมภาคกลางบางแห่งจะแยกตนเองจากพุทธอย่างชัดเจน โดยอ้างวิถีชีวิตมุสลิมและอ้างว่าเป็นอัตลักษณ์ ผมไปประเทศมุสลิมหลายประเทศ ก็ไม่เห็นเขาอ้างความเคร่งครัดอะไรมาแยก เขามางานบุญของพุทธก็เห็นมาร่วมนั่งสมาธิ  เราก็ไม่ได้บังคับเขา  แต่เขาก็ยินดีร่วมงานเรา เวลากินข้าวก็ไม่เห็นรังเกียจว่าภาชนะพุทธไม่บริสุทธิ์  แต่ทำไมที่เมืองไทยต้องแยกกันมากมายเหลือเกิน ....

@ ยังกฏหมายชารีย์อะ ...การแยกพิจารณาคดีความ  มุสลิมต้องขึ้นศาลมุสลิม ไม่ต้องขึ้นศาลไทย  ทำทำไม ? 
     ถ้าไม่คิดแยกการปกครอง ไม่คิดแยกประเทศ แล้วก็น่าสงสัย ทางการไทยหลับหูหลับตาปล่อยไปได้ยังไง  ?  
     จะว่าทหารไม่รู้ก็ไม่ใช่ สมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ก็จะทำครั้งหนึ่งแล้ว แต่ไม่กล้า แต่มารัฐบาลนี้เปิดทางเลย มุสลิมมีดีอะไร ? 
     ถึงปิดหูปิดตาคนใหญ่คนโตในบ้านเมืองได้ ที่พุทธไทยขยับอะไรไม่ได้เลย ตามติดไม่เว้นแม้กระทั่งพระกระทั่งวัด  ทางการไทยเป็นอะไร? 

@ พูดถึงกฏหมายมุสลิม  ผมประหลาดใจ บางประเทศอนุญาตให้ออกกฏหมายสามีทำร้ายภรรยาได้ จึงน่าถามว่า ภรรยาไม่ใช่มนุษย์หรือ ? 
    นักสิทธิมนุษยชนหายหัวไปไหน ? กฏหมายนั้นไม่ขจัดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานหรือ ?  
    ทำไมที่เมืองไทยแค่มหาวิทยาลัยนเรศวรไม่ยอมอนุญาตให้นักศึกษาพยาบาลมุสลิมสวมฮิยาบจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ขนาดสำนักจุฬาราชมนตรีต้องให้กระทรวงศึกษาธิการเอาเรื่องกับมหาวิทยาลัยนเรศวร อ้างว่าขัดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ?  
     แล้วมหาวิทยาลัยมีสิทธิจะป้องกันสิทธิขั้นพื้นฐานของตัวเองไหม ? 
     จะทำอย่างไรในเมื่อระเบียบมหาวิทยาลัยใช้กับนิสิตนักศึกษาศาสนิกของศาสนาอื่นได้ แต้ต้องยกเว้นให้เฉพาะแก่นิสิตนักศึกษามุสลิม ?

 @ ผมยืนยันว่า ไม่ได้บอกว่าให้เมืองไทยจำเป็นต้องเป็นเมืองพุทธเท่านั้น  ศาสนาอื่นก็มีบทบาทได้ ส่วนคนไทยจะหันไปยอมรับศาสนาไหนก็ไม่ว่า แต่ควรให้เป็นไปโดยธรรมชาติ  ไม่ใช่ใช้การบังคับ หรืออุบายใดๆ  

@  แต่ก่อนจะถึงขั้นนั้น  ขอให้ชาวพุทธอย่างพวกผมได้ออกตัวปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาที่บรรพบุรุษไทยเลือกไว้คู่แผ่นดินไทยก่อน  เมื่อออกตัวแล้วสู้ไม่ได้ก็ไม่ว่ากัน  เหมือนที่คนมุสลิมออกตัวปกป้องคุ้มครองศาสนาอิสลาม ในมาเลย์ก็มีมาแล้วขนาดบุกทุบศาสนสถานของพุทธ  เลยไปถึงอาฟกานิสตาน  พวกตาลีบันก็ทำลายพระพุทธรูปสัญลักษณ์สำคัญของชาวพุทธ

  เหตุผลก็เพื่อรักษาความเชื่อของศาสนาอิสลามและความเป็นมุสลิมไว้   จึงหวังว่า มุสลิมจะเปิดใจกว้างและขอให้สบายใจว่าจะไม่มีมุสลิมและศาสนสถานถูกทำร้ายอย่างที่มุสลิมในมาเลย์และอาฟกานิสตานทำแก่พุทธเด็ดขาด

@ และเพราะเหตุนี้ ก็อาจเป็นไปได้ที่ควรรู้สึกว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเป็นพุทธเท่านั้น ศาสนาอิสลามหรือศาสนาไหนมีบทบาทได้ แต่อาจไม่เหมาะกับนิสัยคนไทยในภาพรวมที่ลึกซึ้งกับพระพุทธศาสนามานาน..

พุทธพร้อมจะอยู่กับศาสนาไหนๆได้ทั้งนั้น เพราะถือว่าความบริสุทธิ์เป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่มีการตั้งข้อรังเกียจ  แต่จุดนี้ก็เสียเหมือนกันเพราะเอื้ออารีอย่างไร้ขีดจำดัด

@ ฤาถึงเวลาจะต้องมาตั้งท่าเอาจริงเอาจังกับวิถีพุทธเสียที
Read More