:: ที่นี่ประเทศไทยดินแดนที่เอาใจและให้โอกาสกับศาสนาอื่นจนขาดความเฉลียวใจ!!!
ภาพชาวมุสลิมปิดล้อมวัดหนองจอก
ไม่เคยเอาอดีตมาศึกษาว่า "เมื่อใดก็ตามที่แต่งตั้งคนนอกศาสนามาเป็นผู้มีอำนาจระดับนโบายหรือผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกระทรวงทบวงกรม
คนเหล่านั้นได้ออกกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อศาสนาของเขาขึั้นมาใช้ทันที เช่น ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นอิสลาม อธิบดีกรมการศาสนาเป็นคริสต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีช่วยฯเป็นอิสลาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นอิสลาม ก็เคยมีมาแล้วทั้งสิ้น
ถึงขนาดต้องนำพระพุทธรูปประจำกระทรวงออกจากห้องรับรองก็เคยมีมาแล้ว และคนเหล่านี้มาออกนโยบายเอื้ออำนวยกับอิสลามมากมาย !!!
มาผลักดันกฎหมายสำคัญ ๆ และเมื่อกฎหมายมีผลบังคับแล้ว วันหนึ่งวันใด คนของเขามามีอำนาจโดยตรงตามกฎหมาย ก็จะทำให้สิ่งต่าง ๆ ที่เอื้อประโยชน์กับพวกเขาเกิดขึ้นตามมาอีกมากมายอย่างง่ายดาย
เพราะมีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวทางการเมืองของคนพุทธไม่เคยคิดวิเคราะห์ให้รู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้เลย วันนี้จึงอยากให้ชาวพุทธได้รับรู้และพิจารณาดูพรบ.ศาสนาอิสลาม ๒ ฉบับ
* * * * *
@ กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์ในการบริหารประเทศชาติ เมื่อศัตรูยึดกฎหมายได้ และออกกฎหมายมาบังคับพลเมืองได้ ประชาชนก็ถูกกำจัดด้วยกฎหมาย ไม่ตายก็เหมือนตาย ไม่สิ้นชาติก็เหมือนสิ้น
@ มูลเหตุที่พูดเช่นนี้ เพราะมีกฎหมายและ พรบ.ของศาสนาอิสลามที่ประกาศใช้ทับกับกฎหมายไทยอยู่ในเวลานี้ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องเลย และส่วนมากก็คิดว่ามันเป็น พรบ.บริหารกิจการภายในของศาสนาอิสลามเอง คงไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อคนในศาสนาอื่นมั้ง คนทั่วไปคงคิดเช่นนี้
แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น มันเป็นกฎหมายที่แอบแฝงเข้ามาอยู่ในอำนาจของรัฐ แล้วมีผลบังคับให้รัฐต้องทำตาม พรบ.นั้นๆ ด้วย เช่น ต้องจัดสรรงบประมาณให้เขา การแต่งตั้งคนของเขาให้เป็นพระราชอำนาจ รวมไปถึงมีบทลงโทษแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามอีกด้วย และอัตราโทษทั้งจำทั้งปรับในอัตราที่สูงผิดปกติ
@ ต่อไปนี้ เป็นบทวิเคราะห์และชี้ประเด็นที่เป็นการยึดครองประเทศไทยโดยกฎหมายอย่างไร ขอเริ่มที่พรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. ๒๕๔๐
๑. ด้านบุคลากรที่ถูกยกระดับด้วยกฎหมาย
ตามความในมาตรา ๖ กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจุฬาราชมนตรีเป็นผู้นำกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย โดยให้นายกรัฐมนตรีนำรายชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งเป็นจุฬาราชมนตรีขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้ง และให้มีเงินเดือนตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา ในมาตรา ๘ ได้กำหนดหน้าที่ของจุฬาราชมนตรีไว้ว่า
(๑) ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นต่อทางราชการเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลาม (ซึ่งศาสนาอื่นๆ ไม่เคยมีอำนาจหน้าที่เช่นนี้มาก่อน) นี้เป็นเหมือนดาบอาญาสิทธิ์ว่า ทางราชการจะทำอะไรนั้นจะต้องหารือเขาเสียก่อน และห้ามทำเกินกว่าที่เขาเสนอความเห็นมา
(๒) ถ้าจุฬาราชมนตรีไม่ให้คำปรึกษาเอง ยังมีอำนาจแต่งตั้งคณะผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับบทบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามได้อีกด้วย ดังนั้น ไม่ว่าหน่วยงานราชการไหน จะทำอะไรที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเขาทั้งหมด
ซึ่งศาสนาอื่นๆ เช่นศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาหลักของประเทศยังไม่มีสิทธิ์เช่นว่านี้เลย และที่สำคัญคำว่า บทบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามนั้น หมายถึงคัมภีร์อัลกูรอาน ที่เต็มไปด้วยการสั่งฆ่าผู้ไม่ได้นับถืออิสลาม หรือแม้แต่คนที่นับถือแล้ว จะหันหลังให้อิสลาม นั่นแสดงว่า ความรุนแรงกำลังจะตามมาแน่นอน
@ นอกจากนี้ มาตรา ๑๖ ยังกำหนดให้โปรดเกล้าแต่งตั้งคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยขึ้น แต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด และมาตรา ๒๓ กำหนดให้จังหวัดใดที่มีมัสยิด ๓ แห่งขึ้นไป
ให้จังหวัดนั้นแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดขึ้นคณะหนึ่งจำนวน ๙ ถึง ๓๐ คน และให้มีประธาน รองประธาน เลขานุการ และตำแหน่งอื่นๆ ตามความจำเป็น และให้กระทรวงมหาดไทยประกาศชื่อผู้ได้รับตำแหน่งต่างๆ ในราชกิจจานุเบกษา นี้คือ การกำหนดให้หน่วยงานราชการต้องเป็นผู้รับสนองงานของพวกตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นอกจากนี้ มาตรา ๑๐ ยังกำหนดไว้ว่า (๑) จุฬาราชมนตรี (๒) กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (๓) กรรมการอิสลามประจำจังหวัด (๔) กรรมการอิสลามประจำมัสยิด มีสิทธิ์สวมเสื้อครุยและประดับเข็มพระปรมาภิไธยได้เหมือนกันหมดทุกคน นี้คือ การยกระดับคนของเขาให้สูงกว่าคนในศาสนาอื่นๆ
คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย มีหน้าที่๑๑ ข้อ ขอนำมาเฉพาะที่สำคัญๆ คือ
(๑) ให้คำปรึกษาแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ข้อนี้คือตั้งบุคคลกำกับจี้ให้ ๒ กระทรวงนั้นต้องจัดสรรงบประมาณต่างๆ ออกมาให้ศาสนาอิสลามตามที่กำหนดไว้ในมาตราต่างๆ อย่างไม่มีทางเลือก
(๔) ออกระเบียบเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินและการจัดหาผลประโยชน์ของสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและมัสยิด
(๑๐) ส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมทางศาสนาและการศึกษาศาสนาอิสลาม
(๑๑) ประสานงานกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในกิจการที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม
เหล่านี้ คือ คนของศาสนาอิสลามจะต้องเกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการอยู่ตลอดเวลา จึงเท่ากับว่าเขาครอบงำหน่วยงานของรัฐได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วนั่นเอง
มาตรา ๓๐ ได้กำหนดกรรมการอิสลามประจำมัสยิดไว้ดังนี้ (๑) อิหม่าม เป็นประธานกรรมการ (๒) คอเต็บ เป็นรองประธาน (๓) บิหลั่น เป็นรองประธาน และทั้ง ๓ คนนี้ ให้ถือว่าไม่เป็นนักพรตหรือนักบวช เพื่อให้สามารถเล่นการเมืองได้ (๔) สัปปุรุษประจำมัสยิด โดยกำหนดให้มี ๖ -๑๒ คน ที่มีอายุตั้งแต่๑๕ ปีขึ้นไป
สรุปว่า ตามพรบ.อิสลามฉบับนี้ บุคลากรของศาสนาอิสลามทุกคนได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้ง มีเงินเดือนประจำตำแหน่ง มีสิทธิสวมเสื้อครุยและประดับเข็มปรมาภิไธยได้ และเป็นที่ปรึกษากำกับกระทรวงและผู้ว่าราชการจังหวัดได้ มันเป็น พรบ.ที่เป็นเหมือนกฎหมายทับซ้อนกับกฎหมายไทยอีกอันหนึ่งที่คนทั่วไปไม่ทราบ
๒. ผลประโยชน์ที่ไม่ต้องลงทุน
มาตรา ๕ กำหนดว่าให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ออกกฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ และคำสั่ง เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละกระทรวง กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
มาตรานี้ เป็นการกำหนดหน้าที่ให้ทั้ง ๒ กระทรวงหลักออกกฎระเบียบต่างๆ มาสนองงานของศาสนาอิสลามได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ตามคำปรึกษาเสนอแนะของคณะกรรมการกลางอิสลาม เช่น มาตรา ๑๑ กำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการตั้งอิสลามวิทยาลัยขึ้นได้ในทุกจังหวัด เมื่อเห็นสมควร
ข้อนี้ถ้ามีคนอิสลามขึ้นมาเป็นเจ้ากระทรวงจะมีอิสลามวิทยาลัยขึ้นได้ทุกจังหวัดเลย และจะรวดเร็วมากๆ สิ่งที่ซ้ำใจที่สุด คือ ทุกอย่างใช้งบประมาณหลวงทั้งหมด ตั้งแต่ซื้อที่ดิน ค่าก่อสร้าง อุปกรณ์การเรียน รวมไปถึงค่าสอนที่เป็นครูอิสลาม แต่สอนศาสนาอิสลาม เรียนภาษาอิสลาม
ต่อมา มาตรา ๑๒ การสร้าง การจัดตั้ง การย้าย การรวม การเลิก และการจดทะเบียนมัสยิด ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกระทรวง การจัดตั้งการร่วม และการเลิกมัสยิดให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
การสร้างมัสยิดในข้อนี้ ก็เช่นเดียวกันใช้งบประมาณหลวงทั้งหมด และกรรมการประจำมัสยิดก็มีเงินเดือน เรียกว่า ใช้ของหลวงฟรี ด้วยผลประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ที่พวกเขาไม่ต้องลงทุนเลย มีแต่ได้ล้วนๆ พวกเขาจึงเร่งหาสถานที่สร้างมัสยิดให้ครอบคลุมทั้งประเทศและเป้าหมายคือ ให้ครบทุกตำบล
นอกจากใช้งบหลวงแล้ว ผู้รับเหมาสร้างมัสยิดจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพวกเขาเอง โดยมัสยิดแต่ละแห่งใช้งบประมาณเป็นหลัก ๑๐๐ ล้านบาท และเงินเหล่านี้พวกเขาก็ได้เองทั้งหมด
ถ้าพรบ.ฉบับนี้เปลี่ยนชื่อจากพระราชบัญญัติบริหารกิจการศาสนาอิสลาม มาเป็นพระราชบัญญัติบริหารกิจการพระพุทธศาสนาแล้ว พวกเราชาวพุทธไม่ต้องเหนื่อยกับการบอกบุญใครๆ อีกต่อไป แม้นั่งอยู่ที่บ้านหรือนอนอยู่ที่วัดก็จะมีเม็ดเงินต่างๆ ไหลเข้ามาหาอยู่ตลอดเวลา ศาสนาคงจะเจริญรุ่งเรืองมาก ถ้าเป็นเช่นที่ว่านี้ มันคงจะสบายไปตลอดชาติเลยชาวพุทธเรา
๓. พรบ.ส่งเสริมการฮัจย์ ๒๕๒๔
อีกฉบับหนึ่งของ พรบ.อิสลาม คือ พรบ.ส่งเสริมการฮัจย์ มาตรา ๖ ได้กำหนดหน้าที่ให้กระทรวงต่างๆ ของไทยทั้งหมด ๑๓ กระทรวงด้วยกัน ในการมีส่วนช่วยการไปทำพิธีฮัจย์ ณ ประเทศซาอุดิอารเบียของคนมุสลิม ประกอบด้วย
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
๒. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
๓. ปลัดกระทรวงคมนาคม
๔. ปลัดกระทรวงมหาดไทย
๕. ผู้แทนกระทรวงต่างประเทศ
๖. ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข
๗. ผู้แทนกรมการปกครอง
๘. ผู้แทนกรมตำรวจ
๙. ผู้แทนกรมประชาสงเคราะห์
๑๐. ผู้แทนกรมประมวลข่าวกลาง
๑๑. ผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
๑๒. ผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
๑๓. ผู้ทรงคุณวุฒิอื่นๆ อีกไม่เกิน ๔ คน
นอกจากนี้ มาตรา ๑๔ ยังกำหนดให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการโดยตำแหน่ง และให้กรมการศาสนาทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์ อีกด้วย มีหน้าที่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการหรือที่กรรมการมอบหมาย ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และอื่นๆ
จากทั้ง ๒ มาตรานี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนมากต้องมาบริการชาวมุสลิมที่ต้องไปฮัจย์ทุกปี และจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้พวกเขาไปฟรี ไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะมีกฎหมายมาตราสำคัญบังคับไว้ให้ต้องทำ คือ
มาตรา ๑๕ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ (๑) หรือ (๒) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๖ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ (๓) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา ๑๗ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ เงื่อนไข หรือมาตรการใดๆ ซึ่งออกตามมาตรา ๑๑ (๒) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
ในการไปฮัจย์นี้ก็คล้ายๆ กับการสร้างมัสยิด คือมีบริษัทมารับเหมาช่วงในการรับจัดบริการขนส่งให้กับผู้ไปฮัจย์ด้วย โดยมาตรา ๕ (๑) (๒) (๓) กำหนดให้มีการรับจัดบริการขนส่ง ซึ่งผู้ที่ไปจะถือไปเองไม่ได้ ต้องมีบริษัทรับเหมาขนสัมภาระให้ตลอดการเดินทาง และบริษัทเหล่านี้ ก็เป็นของพวกเขาเอง ไม่ต่างไปจากการสร้างมัสยิดเลย
สรุปว่า ข้าราชการไทยทุกตำแหน่งถูกอิสลามยึดหมดแล้ว ที่สำคัญ คือ งบประมาณมหาศาลที่ใช้ไปกับกิจการของอิสลามทั้งสร้างมัสยิด ทั้งการไปฮัจย์ และอื่นๆ แต่ละปีหลายพันล้านบาท หรืออาจเป็นหมื่นล้านบาท
ขอให้ท่านทั้งหลายหลับตานึกภาพดูจะรู้ว่า ประเทศไทยเรา ที่บรรพบุรุษกอบกู้มา และรักษาไว้ จะมาสิ้นชาติเอาในยุคของพวกเรานี้เอง..... เศร้าสุดๆ....อนิจจา!
รู้แล้วก็เก็บไว้ ไม่ต้องแชร์หรอกนะ รอให้คนนอกศาสนามาเป็นใหญ่ในบ้านเมืองให้มาก ๆ แล้วค่อยแชร์