จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Unknown

อิสลามเลือกแล้วจังหวัด "นำร่อง" ในภาคอิสาน!!!

ผมได้รับข่าวมามื้อเช้านี่ครับ.
 ตอนนี้คนอิสลามได้เลือกจังหวัดขอนแก่น นำร่องในภาคอิสาน นำเงินมาให้คนขอนแก่นเฮายืม


 ขอนแก่นเฮาเป็นจังหวัดแรกโดยให้จัดตั้งเป็นกลุ่มๆ100 คน ตอนนี้ได้แล้ว เกือบ 100 กลุ่ม โดยให้ยืมเงินของศาสนาอิสลามคนละ 1,000,000 บาท

 โดยให้มีโฉดที่ดินคำ้ประกันใว้ เก็บดอกร้อยละ 1 บาทต่อปี ในตอนนี้มีตำรวจ ครู กศน ครูที่กเษียนแล้วเข้าร่วมกลุ่มหลายแล้ว 



โดยเรื่องนี้เขาบ่ให้ผู้ใหญ่บ้านประกาศประชาสัมพันธ์ ผู้ที่จะเข้าร่วมกลุ่มให้ปิดข่าวโดยให้รู้เฉพาะคนใกล้ชิด ที่จะเข้าร่วมกลุ่มเท่านั้น

 ที่ทราบมาตอนนี้ข้าราชการเข้าร่วมหลายแล้ว.

 วันที่ 15 ตุลาคม นี้ เข้าจะนัดกันทำสัญญา ผู้ที่บ่เห็นชอบกับเขาสามารถถอนตัวได้ เมื่อทำสัญญากันผ่านแล้ว เขาจะโอนเงินเข้าให้ผ่านธนาคารกรุงเทพ

Cr.Bancha Yrom
Read More

วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Unknown

ศาสนาอิสลาม เป็นอันตรายต่อชาวพุทธ เป็นอย่างมาก!!!

ศาสนาอิสลามอันตรายต่อชาติพันธ์ุอีสานเป็นอย่างมาก !!!
ไม่เหมือนศาสนาอื่นๆ ที่เขาอยู่อย่างสันติสุขและมีสิทธิเสรีภาพร่วมกันอย่างเสรีได้ 



 ภายในศาสนาพระเจ้าองค์เดียวกัน แม้จะมีกลุ่มแยกแตกไป ทุกศาสนา เช่นพุทธศาสนาเอง ก็ยังมีพุทธนิกายต่างๆ และคริสต์เองก็ยังมี 2 นิกายเช่นเดียวกัน

 และแต่ละศาสนา ล้วนมีศาสดาของใครของท่าน ต่างคำสอนกันไป คุณรู้หรือไม่ว่า >>ศาสนาเหล่านั้น ที่นับถือองค์ศาสดาองค์เดียวกัน แต่สองความคิด และคำสอน ที่แตกต่าง แต่ศาสนาเหล่านั้นไม่มีพิษไม่มีภัยอะไรต่อมวลมนุษยชาติเลย

 ถึงแตกต่าง >>แต่ต่างคนต่างอยู่และให้เสรีภาพต่อกัน สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข และเกิดความรักสามัคคีกันได้ คนไทยบางคนยังนับถือทั้ง 2 ศาสนาได้ ไม่มีกฏห้าม

แต่ศาสนาอิสลามนี่สิ อันตรายอย่างไรเหรอ ??? ก็อันตรายที่เราเห็นกันจะจะ และเห็นกันทั่วโลกถึงความเป็นอันตรายของอิสลามเรารู้ดีว่ามีดีและไม่ดี 2 กลุ่ม 2 ความคิด ถึงมีการฆ่ากันตัดหัวคนอิสลามด้วยกันก็ล้วนแต่ชาวอิสลามด้วยกันเอง

 นี่ไงครับ สิ่งที่เราไม่ต้องการ ศาสนาคุณคิดต่างกันทั้งๆที่ศาสดาเดียวกัน แต่กลุ่มคิดต่างฆ่าได้ทำทุกอย่างทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อพระเจ้าได้

 สักวันหนึ่งได้เข้ามาแผ่นดินอิสานชักจูงประชาชนที่เขามีความสุขกับการอยู่ในพระพุทธศานามาช้านานคน เกิดอนาคตกลุ่มมุสลิมเข้ามาจากที่อื่นมากมายแฝงทั้งสองความคิดอนาคตบรรลัยแน่นอน

 ขนาดภาคใต้พวกมุสลิมเผาวัดเผาวาทำลายของคนเห็นต่างศาสนา
ศาสนาอื่นๆ ศาสดาองค์เดียวกัน และหลายนิกายหลายความคิดแต่เขาอยู่กันแบบมีความสุข ไม่ไปบังคับใคร ทุกคนมีเสรีภาพ

แต่มุสลิมศาสดาองค์เดียวกัน มีสองนิกายสองความคิด แต่อีกนิกายกลับมีแต่ความรุนแรง ฆ่าคนเห็นต่างศาสนาได้ ดังที่ประชาคมโลกเห็นกัน แค่ด่าศาสดา พวกท่านก็จะหาวิธีฆ่าอย่างเดียว นี่แค่บางส่วนเท่านั้น

ส่วนผลกระทบต่อคนอิสาน ที่มีฮีต 12 คอง 14 ตลอดทั้งปีคนอิสานมีความรักความสามัคคีกันเวลาทำบุญงานบุญงานศีลก็จะร่วมกันทำกิจกรรมต่างๆ

 และมีสิ่งบันเทิงรื่นเริงต่างๆในวัฒนธรรมแบบอีสานไม่ว่าจะงานบุญ งานแต่ง งานศพ งานบวช และงานอื่นๆมากมายล้วนแต่ผูกพันธ์กับพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น

 พวกเราอยู่อย่างสงบและมีความสุขไม่มีความระแวงเรื่องระเบิดหรือก่อการร้าย อย่าให้อนาคตได้มีแต่ความระแวงอีกเลย ต่างคนต่างอยู่ 

ไปสร้างที่มีคนมุสลิมอยู่กันเยอะ ลองคิดดูถ้ามัสยิดอยู่ในหมู่บ้าน และชาวบ้านบางคนแน่นอนอาจจะมีการหลงเชื่อเข้าไป คิดดูครับ งานศพ งานแต่ง และงานอื่นๆทำกิจกรรม 2 ศาสนา วุ่นวายแน่

 ทุกวันมีละหมาดเสียงดัง ตลอดใน5เวลา และทางวัดก็สวดมนต์ทำวัตร คนต่างคนไปทำกิจกรรมของศาสนาดัวเอง ความเชื่อแตกแยกในครอบครัวเกิดขึ้น

 ความสุขที่อีสานเคยมี ความสามัคคีต่างๆน้อยลง สุดท้ายขัดแย้งกัน และนำไปเป็นเหตุให้ทำร้ายกัน เผาวัดเผาวา ดั่งสามจังหวัดชายแดนใต้และทั่วโลก หยุดตั้งแต่ตอนนี้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

 นี่ไม่ใช่นิยายหรือมโนไปเองของแท้แน่นอน เพราะทางภาคใต้ก็ยังเป็นอยู่ทุกวันนี้ หลายๆอย่างครับมากมายที่แตกต่างกันและไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้

 ไม่เหมือนศาสนาอื่นๆ มุสลิมไม่คุมกำเนิดมีภรรยาหลายคนได้ ใครแต่งงานด้วยต้องถือมุสลิมอีก พวกเราจะไม่ยอมให้อิสลามเกลื่อนทั้งอีสาน หรือไม่ยอมให้ถูกกลืนได้ในอนาคต !!!

Cr.บึงกาฬไม่เอามัสยิด
Read More

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Unknown

อีลสๅมไม่ว่าที่ไหน ? อยู่กับใครไม่ได้จริงๆ

อีลสๅมไม่ว่าที่ไหน อยู่กับใครไม่ได้จริงๆ 


เมื่อพวกเขามีกำลังเมื่อไหร่เป็นต้องทำสงครามศาสนาหาทางยึดประเทศนั้นๆ ให้ได้ 

https://www.facebook.com/mahachonkonkla/videos/1183412708386808/?hc_ref=NEWSFEED

ถ้ายึดไม่ได้ก็ขอแบ่งแยกประเทศนั้นก็ยังดี นี่คือลัทธิอีลสๅมเขาล่ะ
----------------------------------
เปิดโปงโดย : คุณ Jaew
Read More

วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Unknown

ข้าราชการไทยปัจจุบัน ถูกอิสลามยึดหมดแล้วจริงหรือ ???

:: ที่นี่ประเทศไทยดินแดนที่เอาใจและให้โอกาสกับศาสนาอื่นจนขาดความเฉลียวใจ!!!

ภาพชาวมุสลิมปิดล้อมวัดหนองจอก


 ไม่เคยเอาอดีตมาศึกษาว่า "เมื่อใดก็ตามที่แต่งตั้งคนนอกศาสนามาเป็นผู้มีอำนาจระดับนโบายหรือผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกระทรวงทบวงกรม

 คนเหล่านั้นได้ออกกฎเกณฑ์ที่เอื้อต่อศาสนาของเขาขึั้นมาใช้ทันที เช่น ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นอิสลาม อธิบดีกรมการศาสนาเป็นคริสต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีช่วยฯเป็นอิสลาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเป็นอิสลาม ก็เคยมีมาแล้วทั้งสิ้น

 ถึงขนาดต้องนำพระพุทธรูปประจำกระทรวงออกจากห้องรับรองก็เคยมีมาแล้ว และคนเหล่านี้มาออกนโยบายเอื้ออำนวยกับอิสลามมากมาย !!!



  มาผลักดันกฎหมายสำคัญ ๆ และเมื่อกฎหมายมีผลบังคับแล้ว วันหนึ่งวันใด คนของเขามามีอำนาจโดยตรงตามกฎหมาย ก็จะทำให้สิ่งต่าง ๆ ที่เอื้อประโยชน์กับพวกเขาเกิดขึ้นตามมาอีกมากมายอย่างง่ายดาย

  เพราะมีกฎหมายรองรับอยู่แล้ว ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวทางการเมืองของคนพุทธไม่เคยคิดวิเคราะห์ให้รู้เท่าทันสิ่งเหล่านี้เลย วันนี้จึงอยากให้ชาวพุทธได้รับรู้และพิจารณาดูพรบ.ศาสนาอิสลาม ๒ ฉบับ 
* * * * *
@ กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์ในการบริหารประเทศชาติ เมื่อศัตรูยึดกฎหมายได้ และออกกฎหมายมาบังคับพลเมืองได้ ประชาชนก็ถูกกำจัดด้วยกฎหมาย ไม่ตายก็เหมือนตาย ไม่สิ้นชาติก็เหมือนสิ้น

@ มูลเหตุที่พูดเช่นนี้ เพราะมีกฎหมายและ พรบ.ของศาสนาอิสลามที่ประกาศใช้ทับกับกฎหมายไทยอยู่ในเวลานี้ ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องเลย และส่วนมากก็คิดว่ามันเป็น พรบ.บริหารกิจการภายในของศาสนาอิสลามเอง คงไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อคนในศาสนาอื่นมั้ง คนทั่วไปคงคิดเช่นนี้

 แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น มันเป็นกฎหมายที่แอบแฝงเข้ามาอยู่ในอำนาจของรัฐ แล้วมีผลบังคับให้รัฐต้องทำตาม พรบ.นั้นๆ ด้วย เช่น ต้องจัดสรรงบประมาณให้เขา การแต่งตั้งคนของเขาให้เป็นพระราชอำนาจ รวมไปถึงมีบทลงโทษแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามอีกด้วย และอัตราโทษทั้งจำทั้งปรับในอัตราที่สูงผิดปกติ

@ ต่อไปนี้ เป็นบทวิเคราะห์และชี้ประเด็นที่เป็นการยึดครองประเทศไทยโดยกฎหมายอย่างไร ขอเริ่มที่พรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ. ๒๕๔๐

๑. ด้านบุคลากรที่ถูกยกระดับด้วยกฎหมาย
ตามความในมาตรา ๖ กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจุฬาราชมนตรีเป็นผู้นำกิจการศาสนาอิสลามในประเทศไทย โดยให้นายกรัฐมนตรีนำรายชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งเป็นจุฬาราชมนตรีขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้ง และให้มีเงินเดือนตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา ในมาตรา ๘ ได้กำหนดหน้าที่ของจุฬาราชมนตรีไว้ว่า

(๑) ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นต่อทางราชการเกี่ยวกับกิจการศาสนาอิสลาม (ซึ่งศาสนาอื่นๆ ไม่เคยมีอำนาจหน้าที่เช่นนี้มาก่อน) นี้เป็นเหมือนดาบอาญาสิทธิ์ว่า ทางราชการจะทำอะไรนั้นจะต้องหารือเขาเสียก่อน และห้ามทำเกินกว่าที่เขาเสนอความเห็นมา

(๒) ถ้าจุฬาราชมนตรีไม่ให้คำปรึกษาเอง ยังมีอำนาจแต่งตั้งคณะผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อให้คำปรึกษาเกี่ยวกับบทบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามได้อีกด้วย ดังนั้น ไม่ว่าหน่วยงานราชการไหน จะทำอะไรที่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของเขาทั้งหมด

 ซึ่งศาสนาอื่นๆ เช่นศาสนาพุทธที่เป็นศาสนาหลักของประเทศยังไม่มีสิทธิ์เช่นว่านี้เลย และที่สำคัญคำว่า บทบัญญัติแห่งศาสนาอิสลามนั้น หมายถึงคัมภีร์อัลกูรอาน ที่เต็มไปด้วยการสั่งฆ่าผู้ไม่ได้นับถืออิสลาม หรือแม้แต่คนที่นับถือแล้ว จะหันหลังให้อิสลาม นั่นแสดงว่า ความรุนแรงกำลังจะตามมาแน่นอน

@ นอกจากนี้ มาตรา ๑๖ ยังกำหนดให้โปรดเกล้าแต่งตั้งคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยขึ้น แต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด และมาตรา ๒๓ กำหนดให้จังหวัดใดที่มีมัสยิด ๓ แห่งขึ้นไป

 ให้จังหวัดนั้นแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดขึ้นคณะหนึ่งจำนวน ๙ ถึง ๓๐ คน และให้มีประธาน รองประธาน เลขานุการ และตำแหน่งอื่นๆ ตามความจำเป็น และให้กระทรวงมหาดไทยประกาศชื่อผู้ได้รับตำแหน่งต่างๆ ในราชกิจจานุเบกษา นี้คือ การกำหนดให้หน่วยงานราชการต้องเป็นผู้รับสนองงานของพวกตนเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

  นอกจากนี้ มาตรา ๑๐ ยังกำหนดไว้ว่า (๑) จุฬาราชมนตรี (๒) กรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (๓) กรรมการอิสลามประจำจังหวัด (๔) กรรมการอิสลามประจำมัสยิด มีสิทธิ์สวมเสื้อครุยและประดับเข็มพระปรมาภิไธยได้เหมือนกันหมดทุกคน นี้คือ การยกระดับคนของเขาให้สูงกว่าคนในศาสนาอื่นๆ

คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย มีหน้าที่๑๑ ข้อ ขอนำมาเฉพาะที่สำคัญๆ คือ

(๑) ให้คำปรึกษาแก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ ข้อนี้คือตั้งบุคคลกำกับจี้ให้ ๒ กระทรวงนั้นต้องจัดสรรงบประมาณต่างๆ ออกมาให้ศาสนาอิสลามตามที่กำหนดไว้ในมาตราต่างๆ อย่างไม่มีทางเลือก


(๔) ออกระเบียบเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินและการจัดหาผลประโยชน์ของสำนักงานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดและมัสยิด


(๑๐) ส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมทางศาสนาและการศึกษาศาสนาอิสลาม


(๑๑) ประสานงานกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในกิจการที่เกี่ยวข้องกับศาสนาอิสลาม


เหล่านี้ คือ คนของศาสนาอิสลามจะต้องเกี่ยวข้องกับหน่วยงานราชการอยู่ตลอดเวลา จึงเท่ากับว่าเขาครอบงำหน่วยงานของรัฐได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วนั่นเอง

มาตรา ๓๐ ได้กำหนดกรรมการอิสลามประจำมัสยิดไว้ดังนี้ (๑) อิหม่าม เป็นประธานกรรมการ (๒) คอเต็บ เป็นรองประธาน (๓) บิหลั่น เป็นรองประธาน และทั้ง ๓ คนนี้ ให้ถือว่าไม่เป็นนักพรตหรือนักบวช เพื่อให้สามารถเล่นการเมืองได้ (๔) สัปปุรุษประจำมัสยิด โดยกำหนดให้มี ๖ -๑๒ คน ที่มีอายุตั้งแต่๑๕ ปีขึ้นไป

สรุปว่า ตามพรบ.อิสลามฉบับนี้ บุคลากรของศาสนาอิสลามทุกคนได้รับการโปรดเกล้าแต่งตั้ง มีเงินเดือนประจำตำแหน่ง มีสิทธิสวมเสื้อครุยและประดับเข็มปรมาภิไธยได้ และเป็นที่ปรึกษากำกับกระทรวงและผู้ว่าราชการจังหวัดได้ มันเป็น พรบ.ที่เป็นเหมือนกฎหมายทับซ้อนกับกฎหมายไทยอีกอันหนึ่งที่คนทั่วไปไม่ทราบ

๒. ผลประโยชน์ที่ไม่ต้องลงทุน
มาตรา ๕ กำหนดว่าให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ ออกกฎกระทรวง ระเบียบ ประกาศ และคำสั่ง เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละกระทรวง กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้

 มาตรานี้ เป็นการกำหนดหน้าที่ให้ทั้ง ๒ กระทรวงหลักออกกฎระเบียบต่างๆ มาสนองงานของศาสนาอิสลามได้อย่างไม่มีขีดจำกัด ตามคำปรึกษาเสนอแนะของคณะกรรมการกลางอิสลาม เช่น มาตรา ๑๑ กำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการตั้งอิสลามวิทยาลัยขึ้นได้ในทุกจังหวัด เมื่อเห็นสมควร

 ข้อนี้ถ้ามีคนอิสลามขึ้นมาเป็นเจ้ากระทรวงจะมีอิสลามวิทยาลัยขึ้นได้ทุกจังหวัดเลย และจะรวดเร็วมากๆ สิ่งที่ซ้ำใจที่สุด คือ ทุกอย่างใช้งบประมาณหลวงทั้งหมด ตั้งแต่ซื้อที่ดิน ค่าก่อสร้าง อุปกรณ์การเรียน รวมไปถึงค่าสอนที่เป็นครูอิสลาม แต่สอนศาสนาอิสลาม เรียนภาษาอิสลาม

 ต่อมา มาตรา ๑๒ การสร้าง การจัดตั้ง การย้าย การรวม การเลิก และการจดทะเบียนมัสยิด ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกระทรวง การจัดตั้งการร่วม และการเลิกมัสยิดให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

การสร้างมัสยิดในข้อนี้ ก็เช่นเดียวกันใช้งบประมาณหลวงทั้งหมด และกรรมการประจำมัสยิดก็มีเงินเดือน เรียกว่า ใช้ของหลวงฟรี ด้วยผลประโยชน์มหาศาลเช่นนี้ที่พวกเขาไม่ต้องลงทุนเลย มีแต่ได้ล้วนๆ พวกเขาจึงเร่งหาสถานที่สร้างมัสยิดให้ครอบคลุมทั้งประเทศและเป้าหมายคือ ให้ครบทุกตำบล

นอกจากใช้งบหลวงแล้ว ผู้รับเหมาสร้างมัสยิดจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพวกเขาเอง โดยมัสยิดแต่ละแห่งใช้งบประมาณเป็นหลัก ๑๐๐ ล้านบาท และเงินเหล่านี้พวกเขาก็ได้เองทั้งหมด

ถ้าพรบ.ฉบับนี้เปลี่ยนชื่อจากพระราชบัญญัติบริหารกิจการศาสนาอิสลาม มาเป็นพระราชบัญญัติบริหารกิจการพระพุทธศาสนาแล้ว พวกเราชาวพุทธไม่ต้องเหนื่อยกับการบอกบุญใครๆ อีกต่อไป แม้นั่งอยู่ที่บ้านหรือนอนอยู่ที่วัดก็จะมีเม็ดเงินต่างๆ ไหลเข้ามาหาอยู่ตลอดเวลา ศาสนาคงจะเจริญรุ่งเรืองมาก ถ้าเป็นเช่นที่ว่านี้ มันคงจะสบายไปตลอดชาติเลยชาวพุทธเรา

๓. พรบ.ส่งเสริมการฮัจย์ ๒๕๒๔
อีกฉบับหนึ่งของ พรบ.อิสลาม คือ พรบ.ส่งเสริมการฮัจย์ มาตรา ๖ ได้กำหนดหน้าที่ให้กระทรวงต่างๆ ของไทยทั้งหมด ๑๓ กระทรวงด้วยกัน ในการมีส่วนช่วยการไปทำพิธีฮัจย์ ณ ประเทศซาอุดิอารเบียของคนมุสลิม ประกอบด้วย

๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 
๒. ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ 
๓. ปลัดกระทรวงคมนาคม 
๔. ปลัดกระทรวงมหาดไทย 
๕. ผู้แทนกระทรวงต่างประเทศ 
๖. ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุข 
๗. ผู้แทนกรมการปกครอง 
๘. ผู้แทนกรมตำรวจ 
๙. ผู้แทนกรมประชาสงเคราะห์ 
๑๐. ผู้แทนกรมประมวลข่าวกลาง 
๑๑. ผู้แทนสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ 
๑๒. ผู้แทนคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย 
๑๓. ผู้ทรงคุณวุฒิอื่นๆ อีกไม่เกิน ๔ คน

นอกจากนี้ มาตรา ๑๔ ยังกำหนดให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการโดยตำแหน่ง และให้กรมการศาสนาทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์ อีกด้วย มีหน้าที่ปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการหรือที่กรรมการมอบหมาย ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และอื่นๆ

จากทั้ง ๒ มาตรานี้ ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐจำนวนมากต้องมาบริการชาวมุสลิมที่ต้องไปฮัจย์ทุกปี และจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้พวกเขาไปฟรี ไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะมีกฎหมายมาตราสำคัญบังคับไว้ให้ต้องทำ คือ

มาตรา ๑๕ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ (๑) หรือ (๒) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๖ ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๕ (๓) ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา ๑๗ ผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ เงื่อนไข หรือมาตรการใดๆ ซึ่งออกตามมาตรา ๑๑ (๒) ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท

ในการไปฮัจย์นี้ก็คล้ายๆ กับการสร้างมัสยิด คือมีบริษัทมารับเหมาช่วงในการรับจัดบริการขนส่งให้กับผู้ไปฮัจย์ด้วย โดยมาตรา ๕ (๑) (๒) (๓) กำหนดให้มีการรับจัดบริการขนส่ง ซึ่งผู้ที่ไปจะถือไปเองไม่ได้ ต้องมีบริษัทรับเหมาขนสัมภาระให้ตลอดการเดินทาง และบริษัทเหล่านี้ ก็เป็นของพวกเขาเอง ไม่ต่างไปจากการสร้างมัสยิดเลย

สรุปว่า ข้าราชการไทยทุกตำแหน่งถูกอิสลามยึดหมดแล้ว ที่สำคัญ คือ งบประมาณมหาศาลที่ใช้ไปกับกิจการของอิสลามทั้งสร้างมัสยิด ทั้งการไปฮัจย์ และอื่นๆ แต่ละปีหลายพันล้านบาท หรืออาจเป็นหมื่นล้านบาท

ขอให้ท่านทั้งหลายหลับตานึกภาพดูจะรู้ว่า ประเทศไทยเรา ที่บรรพบุรุษกอบกู้มา และรักษาไว้ จะมาสิ้นชาติเอาในยุคของพวกเรานี้เอง..... เศร้าสุดๆ....อนิจจา! 

รู้แล้วก็เก็บไว้ ไม่ต้องแชร์หรอกนะ รอให้คนนอกศาสนามาเป็นใหญ่ในบ้านเมืองให้มาก ๆ แล้วค่อยแชร์
Read More